แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงโชว์ฟอร์มร้อนแรงในศึกฟุตบอลยุโรป หลังจากบุกไปเก็บชัยชนะเหนือแอธเลติก บิลเบา ด้วยสกอร์ 3-0 ในเกมรอบรองชนะเลิศ ยูโรปาลีก นัดแรก เมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2025 (ตามเวลาประเทศไทย) ส่งผลให้ “ปีศาจแดง” เป็นเพียงทีมเดียวในฤดูกาลนี้ที่ยังไม่แพ้ใครในฟุตบอลยุโรป
การแข่งขันที่สนามซาน มาเมส บ้านของบิลเบา กลายเป็นเวทีโชว์ฟอร์มอันดุดันของลูกทีม รูเบน อาโมริม ซึ่งคุมเกมได้ตั้งแต่นาทีแรก และออกนำด้วยประตูสุดสวยที่เริ่มต้นจากแฮร์รี่ แม็กไกวร์
แม็กไกวร์สร้างเซอร์ไพรส์ พาทีมขึ้นนำ
แม็กไกวร์ทำเกมรุกจากริมเส้นฝั่งขวา ใช้ทักษะส่วนตัวหลบหลีกกองหลังเจ้าบ้านก่อนเปิดบอลเข้าเขตโทษอย่างแม่นยำให้มานูเอล อูการ์เต้ โหม่งเช็ดไปถึงคาเซมิโร่ที่รออยู่เสาไกล และกองกลางบราซิลไม่พลาดซัดประตูเปิดหัวให้ยูไนเต็ดขึ้นนำในนาทีที่ 30
เกมพลิกขาดในครึ่งแรก
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ราสมุส ฮอยลุนด์ ถูกทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษโดยดาเนียล วิเวียน ซึ่งหลังจาก VAR ตรวจสอบ ผู้ตัดสินตัดสินใจแจกใบแดงและให้จุดโทษแก่ทีมเยือน
บรูโน่ แฟร์นันเดส รับหน้าที่สังหารจุดโทษและยิงเข้าไปไม่พลาด ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดนำห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 35
ก่อนหมดครึ่งแรก กัปตันทีมชาวโปรตุเกสยังไม่หยุดแค่นั้น เมื่อฉวยโอกาสจากจังหวะผิดพลาดของแนวรับบิลเบา หลุดเข้าไปยิงประตูที่สาม เป็นแฮตทริกของทีมในครึ่งแรก และเป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในเกมนี้
คุมเกมทั้งสนาม แม้ลดความเร็วในครึ่งหลัง
ครึ่งหลังแมนฯ ยูไนเต็ดเริ่มผ่อนเกม เน้นการครองบอลและควบคุมจังหวะ ขณะที่บิลเบาที่เหลือ 10 คนไม่สามารถสร้างโอกาสตอบโต้ได้มากนัก สุดท้ายสกอร์จบที่ 3-0 ส่ง “ปีศาจแดง” เข้าใกล้รอบชิงชนะเลิศเต็มที
บันทึกไร้พ่ายในยุโรป
ชัยชนะนัดนี้ทำให้ยูไนเต็ดยังคงรักษาสถิติไร้พ่ายในศึกยูโรปาลีกฤดูกาลนี้ โดยผ่าน 13 นัด ชนะ 8 เสมอ 5 ไม่แพ้เลยแม้แต่นัดเดียว
นอกจากนี้ยังเป็นสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดของสโมสรในฟุตบอลยุโรป นับตั้งแต่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2016 ถึงตุลาคม 2017 ที่ไม่แพ้ใครติดต่อกัน 15 นัด
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในยุคของอาโมริม ไม่เพียงแข็งแกร่งในแนวรับ แต่ยังดุดันในเกมรุก โดยยิงได้ถึง 31 ประตูในเวทียุโรปฤดูกาลนี้ ถือเป็นผลงานที่น่าทึ่ง เมื่อเทียบกับฟอร์มที่ไม่นิ่งนักในพรีเมียร์ลีก
แฟนบอลมีสิทธิ์ฝัน
ด้วยรูปแบบการเล่นที่ลงตัวและฟอร์มการเล่นที่มั่นคงในเวทียุโรป แฟนบอล “ปีศาจแดง” คงมีเหตุผลมากพอที่จะเริ่มฝันถึงถ้วยยูโรปาลีกอีกครั้ง และหากทีมยังรักษามาตรฐานนี้ได้ ก็อาจเป็นฤดูกาลที่นำความสำเร็จกลับสู่โอลด์ แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง
อ่านด้วย :