อาร์เน่ สลอต (Arne Slot) ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ออกมาเปิดใจหลังทีมพ่ายคาบ้านต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นความพ่ายแพ้ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในฤดูกาลนี้
แม้สลอตจะบอกว่าถึงเวลาที่ทุกคนต้องให้โอกาส อเล็กซานเดอร์ อีซัค (Alexander Isak) ได้รับการประเมินอย่างยุติธรรมในฐานะกองหน้าค่าตัวมหาศาล 125 ล้านปอนด์ แต่หากมองจากผลงานล่าสุดแล้ว คำตอบที่ได้คงไม่ทำให้ใครพอใจนัก
เกมร้อนแรงที่แอนฟิลด์ แต่แนวรับลิเวอร์พูลคือจุดพังหลัก
ในเกมนี้ ลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะเพื่อเรียกความมั่นใจคืนหลังฟอร์มตกต่อเนื่อง ทว่ากลับถูกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดลงโทษอย่างเจ็บแสบตั้งแต่นาทีแรก เมื่อ ไบรอัน เอ็มเบวโม (Bryan Mbeumo) ยิงให้ทีมเยือนนำเร็วเพียง 63 วินาที
ลิเวอร์พูลพยายามอย่างหนักเพื่อทวงคืนความได้เปรียบ พวกเขาสร้างโอกาสมากมายและถึงสามครั้งที่บอลชนเสา โดยเฉพาะ โคดี้ กัคโป (Cody Gakpo) ที่โชคร้ายสุดๆ แต่สุดท้ายทีมก็ต้องช็อกเมื่อ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (Harry Maguire) โหม่งประตูชัยให้ยูไนเต็ดในนาทีที่ 84 ปิดเกม 2-1 และกลายเป็นชัยชนะนัดแรกของปีศาจแดงที่แอนฟิลด์ตั้งแต่ปี 2016
สลอตรับสภาพ – ปัญหาไม่ใช่แดนหน้า แต่คือแนวรับที่เสียสมาธิ
สลอตยอมรับหลังเกมว่า “มันยากจะเชื่อว่าทีมอย่างลิเวอร์พูลจะเป็นฝ่ายแพ้ ทั้งที่สร้างโอกาสมากมาย แต่เมื่อแนวรับเล่นได้ไม่ดีพอ คุณก็ไม่อาจชนะเกมใหญ่แบบนี้ได้”
แม้หลายคนจะตำหนิ อีซัค และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (Mohamed Salah) ที่ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้ในเกมนี้ (ทั้งคู่ถูกเปลี่ยนตัวออกหลังครึ่งหลัง) แต่สลอตกลับมองว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่แนวหลัง
แนวรับของลิเวอร์พูลในเกมนี้เต็มไปด้วยความผิดพลาดทั้งการยืนตำแหน่งและการสื่อสาร โดยเฉพาะในจังหวะลูกตั้งเตะที่กลายเป็นจุดอ่อนซ้ำซาก ซึ่ง คริสตัล พาเลซ, เชลซี และตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวรับรั่วซ้ำซาก กลายเป็นสถิติที่ไม่น่าจดจำ
ความพ่ายแพ้ต่อแมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้ลิเวอร์พูลของอาร์เน่ สลอตไม่ชนะใน 4 เกมหลังสุดในทุกรายการ ซึ่งเป็นสถิติเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เมื่อปี 2014
ลูกทีมของสลอตเสียประตูจากลูกตั้งเตะถึง 5 ครั้งใน 12 นัดแรกของฤดูกาล และมีเพียงสองเกมเท่านั้นที่สามารถเก็บคลีนชีตได้ ความผิดพลาดในเกมรับยังคงเกิดขึ้นซ้ำๆ แม้จะมีการปรับแท็กติกหลังพักเบรกทีมชาติ
ในเกมนี้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ (Virgil van Dijk) และ มิลอส เคอร์เกซ (Milos Kerkez) ดูเหมือนไม่เข้าใจกัน ทั้งคู่เสียตำแหน่งในจังหวะที่เอ็มเบวโมยิงประตูแรก รวมถึงจังหวะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส (Bruno Fernandes) ส่งบอลยาวให้ อามัด ดิอัลโล่ (Amad Diallo) ได้หลุดไปก่อนเปิดบอลเข้ากลาง
ผู้รักษาประตู จอร์จี มามาร์ดาชวิลี่ (Giorgi Mamardashvili) ซึ่งได้โอกาสแทน อลิสซอน เบ็คเกอร์ (Alisson Becker) ก็ไม่สามารถเซฟลูกยิงมุมแคบได้ ทำให้แฟนบอลเจ้าถิ่นถึงกับกุมขมับ
แผนรุกยังดี แต่แผนรับต้องเร่งแก้
สลอตเผยหลังเกมว่า “เราพยายามเสี่ยงในช่วงท้ายเกม ด้วยการส่งผู้เล่นแนวรุกถึง 6-7 คนลงสนาม เพื่อพยายามตีเสมอให้ได้ แต่บางทีนั่นอาจทำให้โครงสร้างแนวรับของเราหลวมไปหน่อย ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นเลย”
กุนซือชาวดัตช์ยังเสริมว่า “นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง เรารู้ว่าเราต้องทำได้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะในการจัดระเบียบเกมรับ และความนิ่งเมื่อเจอสถานการณ์กดดัน”
อีซัค–ซาลาห์ยังไม่เข้าฝัก แต่ยังไม่ถึงเวลาตัดสิน
อีซัคเพิ่งมีโอกาสยิงตรงกรอบครั้งแรกให้ลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก นาทีที่ 35 ซึ่งถูกผู้รักษาประตูแมนฯ ยูไนเต็ด เซเน่ ลัมเมนส์ ปัดไว้ได้ ขณะที่ซาลาห์ก็มีโอกาสทองในครึ่งหลังแต่กลับยิงหลุดกรอบอย่างน่าผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม สลอตยืนยันว่าเขายังเชื่อมั่นในศักยภาพของทั้งคู่ “นักเตะระดับนี้ต้องการเวลาและความเข้าใจในระบบใหม่ ผมไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาจะกลับมาทำประตูได้แน่นอน”
ปัญหาแท้จริงอยู่ที่แนวรับ ไม่ใช่เกมรุก
ความพ่ายแพ้นัดนี้ทำให้ลิเวอร์พูลต้องกลับไปทบทวนระบบการป้องกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะลงเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับ ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ต กลางสัปดาห์หน้า
แม้เกมรุกจะยังดูมีชีวิตชีวา แต่ตราบใดที่แนวรับยังขาดสมาธิและการสื่อสารที่ชัดเจน ความฝันในการลุ้นแชมป์ก็อาจดับลงก่อนเวลา
อ่านด้วย :