ความตึงเครียดระหว่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ อาร์เน่ สลอต ในทีมลิเวอร์พูลกำลังเข้าสู่จุดที่ยากเกินจะเยียวยา ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นเริ่มแตกร้าวในช่วงเวลาสำคัญ ขณะที่ฟอร์มทีมยังไม่นิ่งและความเชื่อมั่นภายในกำลังถูกทดสอบอย่างหนัก โดยเฉพาะหลังจากซาลาห์กลับมาลงซ้อมก่อนเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับอินเตอร์ มิลาน แต่สัญญาณของการคืนดียังไม่ชัดเจนแม้แต่น้อย
รอยร้าวที่เริ่มจากความผิดหวังจนกลายเป็นช่องว่างลึก
จากมุมที่มองตามความเป็นจริง ความเสียหายครั้งนี้อาจหนักเกินกว่าจะเยียวยา ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่ให้ความสำคัญกับความสามัคคีในห้องแต่งตัว และมักจะเก็บปัญหาทุกอย่างไว้ภายในทีม แต่เมื่อผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์อย่างซาลาห์ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงตำหนิผู้จัดการทีม หลังถูกจับนั่งสำรองถึงสามนัดติดต่อกัน เส้นแบ่งที่ไม่เคยถูกข้ามก็ถูกทำลายลงทันที
สถานการณ์ตอนนี้จึงเหมือนถึงทางแยกสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อซาลาห์อายุเข้าสู่ 33 ปี และกราฟผลงานเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงวิจารณ์ก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายบริหารของลิเวอร์พูลให้ความสำคัญกับข้อมูลและสถิติ ซึ่งตัวเลข “7 ประตูจาก 30 แมตช์ล่าสุด” กลายเป็นข้อเสียเปรียบ เมื่อเทียบกับช่วงที่เขายิงได้ถึง “25 ประตูจาก 30 นัด” ก่อนหน้านี้
ความขัดแย้งระหว่างสองบุคคลสำคัญของลิเวอร์พูล—หนึ่งคือผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล และอีกหนึ่งคือผู้จัดการทีมยอดเยี่ยม—ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลกจับตามอง
ซาลาห์อาจไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธ แต่คำพูดที่บอกว่าผลงานในอดีตทำให้เขา “สมควรได้ลงเป็นตัวจริง” กลับทำให้เสียงสนับสนุนลดหายไปทันที เพราะในโลกฟุตบอลระดับอาชีพ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ฟอร์มปัจจุบัน” ไม่ใช่ความสำเร็จในอดีต นั่นเป็นเหตุผลที่หลายฝ่ายมองว่าการประสานรอยร้าวครั้งนี้แทบเป็นไปไม่ได้แล้ว
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย: ความขัดแย้งระหว่างนักเตะและผู้จัดการทีมมีมายาวนาน
ปัญหาระหว่างผู้เล่นและผู้จัดการทีมไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการฟุตบอล เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหลายครั้งจบลงด้วยการจากลาแบบเลี่ยงไม่ได้
หนึ่งในเหตุการณ์แรงที่สุดคือกรณี รอย คีน กับ มิค แม็คคาร์ธี ก่อนฟุตบอลโลก 2002 ที่คีนด่าใส่ผู้จัดการทีมแบบไม่ยั้ง จนทำให้เขาถูกส่งตัวกลับบ้านทันที
อีกเหตุการณ์คลาสสิกที่แฟนบอลทั่วโลกไม่ลืมคือความแตกหักระหว่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ เดวิด เบ็คแฮม ในปี 2003 เมื่อรองเท้าสตั๊ดลอยไปโดนใบหน้าของเบ็คแฮมในห้องแต่งตัว จนกลายเป็นจุดจบของเขาที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเปิดทางให้ย้ายไปเรอัล มาดริด
เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่าความสัมพันธ์ที่ร้าวลึกมักไม่สามารถซ่อมกลับเหมือนเดิมได้
จากโอซิลถึงโรนัลโด้: ลูปความขัดแย้งที่เกิดซ้ำในยุคฟุตบอลสมัยใหม่
ซุปเปอร์สตาร์ในยุคหลังไม่น้อยที่เคยผ่านปัญหาคล้ายกัน
- เมซุต โอซิล เคยขัดแย้งกับทั้งอูไน เอเมรี และมิเกล อาร์เตต้า จนถูกตัดชื่อออกจากทั้งทีมพรีเมียร์ลีกและทีมยุโรป แม้จะเคยได้รับเสียงชื่นชมจากการช่วยแบกรับค่าจ้างมาสคอตก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องเดินออกจากสโมสร
- คริสเตียโน โรนัลโด้ แตกหักกับเอริก เทน ฮาก ในปี 2022 จนนำไปสู่การให้สัมภาษณ์สะเทือนวงการกับเพียร์ส มอร์แกน และลงเอยด้วยการยกเลิกสัญญา
- มาริโอ บาโลเตลลี่ กับ โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็เคยถึงขั้นมีปัญหาทางกายภาพระหว่างการซ้อมในปี 2013
- กรณีล่าสุดคือความไม่ลงรอยระหว่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ รูเบน อาโมริม ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการให้การแยกทางเกิดขึ้น
รูปแบบความขัดแย้งเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ และแทบไม่มีบทสรุปที่จบอย่างสวยงาม
บทเรียนสำคัญ: ไม่มีนักเตะคนไหนใหญ่กว่าสโมสร
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังทุกเหตุการณ์คือหลักการเดียวกัน—
สโมสรต้องมาก่อนบุคคล
เมื่อความขัดแย้งลุกลามจนเกินควบคุม สโมสรต้องตัดสินใจเพื่อรักษาโครงสร้างและทิศทางของทีม ไม่ว่าผู้เล่นคนนั้นจะสำคัญแค่ไหนก็ตาม
กรณีของซาลาห์และสลอตก็เป็นเช่นนั้น ถ้าทั้งคู่ยังไม่สามารถหาจุดร่วมได้ อนาคตของเรื่องนี้คงเดาไม่ยาก เพราะในฟุตบอลยุคใหม่ สโมสรต้องยืนหยัดเคียงข้างผู้จัดการทีมเสมอ หากไม่เช่นนั้น โปรเจ็กต์ของทั้งสโมสรอาจพังลงได้โดยง่าย
อ่านด้วย :