• BTC$86,280.00
    2.81%
  • ETH$2,824.34
    3.44%
  • USDT$1.00
    0.03%
  • XRP$2.05
    7.02%
  • BNB$846.47
    3.06%
  • USDC$1.00
    -0.01%
  • SOL$130.53
    4.01%
  • TRX$0.28
    -0.10%
  • STETH$2,821.59
    3.52%
  • DOGE$0.14
    5.60%
  • ADA$0.41
    3.31%
  • WSTETH$3,439.59
    3.44%
  • WBTC$86,141.95
    2.82%
  • BCH$540.95
    2.73%
  • HYPE$31.72
    -5.06%

SBOTOP รูเบน อาโมริม เปิดใจหลังครบ 1 ปีคุมแมนยูฯ: เป็นปีที่หนักหนาสาหัสที่สุด

รูเบน อาโมริม (Ruben Amorim) ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับตรง ๆ ว่า ปีแรกของเขาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น เขายังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะพาสโมสรกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ พร้อมยืนยันว่าจะอยู่สร้างอนาคตกับ “ปีศาจแดง” ต่อไป

อาโมริมเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2024 แทนที่ เอริก เทน ฮาก (Erik ten Hag) และเริ่มงานในอีกสิบวันต่อมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แมนยูฯ กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาล

ในระยะเวลา 1 ปีเต็มที่ผ่านไป เขาพาทีมลงสนามไปแล้ว 52 นัด โดยเก็บชัยชนะได้ 21 นัด เสมอ 12 นัด และแพ้ 19 นัด คิดเป็นอัตราชนะราว 40 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขที่ยังห่างจากเป้าหมายของแฟนบอล แต่ถือเป็นก้าวแรกในการสร้างรากฐานทีมใหม่

“ปีที่เหนื่อยที่สุด” ของรูเบน อาโมริม

ในวันครบรอบการทำงานหนึ่งปี อาโมริมเปิดใจอย่างตรงไปตรงมา

“นี่คือปีที่ยาวนานและหนักหนาสาหัสมาก” เขากล่าวกับสื่ออย่างสงบ
“มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย แต่ผมได้เรียนรู้สิ่งสำคัญมากมาย ผมได้ค้นพบว่าถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่สุด ผมก็ยังคงยึดมั่นในหลักการที่เชื่อ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้ การได้คุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือเกียรติสูงสุดในชีวิต และผมตั้งใจจะอยู่ที่นี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”

คำพูดดังกล่าวสะท้อนถึงบุคลิกของอาโมริมในฐานะกุนซือที่ไม่ยอมแพ้ต่อแรงกดดัน แม้เขาจะยังไม่ได้พาทีมกลับมาคว้าแชมป์ แต่การวางรากฐานด้านแท็กติกและวินัยเริ่มเห็นผลในสนาม

ฟอร์มดีขึ้นก่อนบุกเยือนน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์

ในช่วงหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มกลับมาทำผลงานได้อย่างมั่นใจ หลังคว้าชัยชนะ 3 นัดรวดในพรีเมียร์ลีก เหนือ ซันเดอร์แลนด์, ลิเวอร์พูล และ ไบรท์ตัน ซึ่งทำให้ทีมขยับขึ้นสู่โซนหัวตารางอีกครั้ง

สุดสัปดาห์นี้ ปีศาจแดงมีโปรแกรมบุกเยือน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมของ ฌอน ไดช์ (Sean Dyche) ซึ่งเพิ่งเข้ามารับงานได้เพียงสามนัดเท่านั้น แต่ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทีมได้ชัดเจน

ประเด็นร้อน: อาโมริม ตอบโต้คำพูดของ ฌอน ไดช์

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะมาคุมฟอเรสต์ ไดช์เคยให้สัมภาษณ์เชิงแซะอาโมริม โดยกล่าวว่า

“ผมมั่นใจว่าถ้าเป็นผมคุมทีมแมนยูฯ ด้วยระบบ 4-4-2 ผมน่าจะชนะได้มากกว่านี้”

อาโมริมตอบกลับอย่างสุขุมและเต็มไปด้วยอารมณ์ขันว่า

“บางทีเขาอาจจะพูดถูกก็ได้ ถ้าเราเล่น 4-4-2 บางทีอาจจะชนะมากกว่านี้”
“แต่ผมเคยพูดตั้งแต่วันแรกว่าผมมีแนวทางการเล่นของตัวเอง ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อสร้างผลลัพธ์ในระยะยาว”

เขายังเสริมด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า

“ผมเคารพไดช์มาก เขาเป็นโค้ชที่เก่งและเข้าใจเกมดี แต่การพูดถึงแท็กติกในสตูดิโอกับการคุมทีมจริง ๆ มันต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมไม่มีอะไรจะพูดเพิ่มเติม นอกจากตั้งใจชนะในเกมต่อไปให้ได้เท่านั้น”

คำตอบของอาโมริมได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอล เพราะสะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่ไม่หลงไปกับดราม่านอกสนาม

ข่าวดีจากแนวรับ ปีศาจแดง

ข่าวดีสำหรับแฟนบอลแมนยูฯ คือ ลิซานโดร มาร์ติเนซ (Lisandro Martínez) กองหลังตัวหลักชาวอาร์เจนตินา กลับมาซ้อมเต็มรูปแบบได้แล้ว หลังหายจากอาการบาดเจ็บหัวเข่าที่ทำให้เขาต้องพักตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

อาโมริมยืนยันว่า

“เขาอยากลงเล่นกับฟอเรสต์มาก แต่เรายังไม่รีบ เราต้องการให้เขากลับมาอย่างสมบูรณ์ก่อน”

ในขณะเดียวกัน สถานะของ แฮร์รี แม็กไกวร์ ยังไม่แน่ชัดว่าจะพร้อมลงสนามหรือไม่

บทเรียนสำคัญจากความพ่ายแพ้ต่อเบรนท์ฟอร์ด

เจสัน วิลค็อกซ์ (Jason Wilcox) ผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสร เปิดเผยว่า เกมที่แมนยูฯ แพ้ เบรนท์ฟอร์ด 1-3 เมื่อปลายเดือนกันยายน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมเริ่มกลับมาทบทวนแนวทางการเล่น

“มันเป็นเกมที่เราเสียใจมากกับผลงานในสนาม แต่หลังจากนั้นเราก็เห็นการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม ทีมเริ่มเล่นได้มีพลังมากขึ้นและมีพัฒนาการให้เห็นชัด” วิลค็อกซ์กล่าวกับ MUTV

ตอนนี้เป้าหมายของแมนยูฯ ภายใต้การนำของอาโมริมคือการรักษาความต่อเนื่อง และค่อย ๆ พาทีมกลับไปสู่มาตรฐานของสโมสรระดับโลกอีกครั้ง

หนึ่งปีของรูเบน อาโมริมในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เต็มไปด้วยความท้าทาย ความผิดหวัง และบทเรียนอันล้ำค่า แต่ในขณะเดียวกัน มันก็คือปีแห่งการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับอนาคตของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แฟนบอลอาจต้องอดใจรออีกสักพัก เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงของยุคอาโมริม แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ความมุ่งมั่นและความเชื่อของเขาไม่เคยสั่นคลอน

อ่านด้วย :